Happy Anniversary

เราเริ่มทำงานเป็นวันแรกในวันนี้ (เมื่อกี่ปีที่แล้วไม่บอก ความลับ แต่ดูจากภาษาที่เขียนคิดว่าคนอ่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วแหละว่าแก่) ทำงานที่แรกได้ประมาณ 1 ปีก็ลาออก

จำได้ว่าคนญี่ปุ่นให้เขียนอีเมลแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องการลาออก

ก็เขียนไปสั้น ๆ (อย่างเป็นทางการ) ว่า

เรียน ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน

ขอขอบคุณทุก ๆ ท่าน สำหรับความช่วยเหลือและความร่วมมือที่ดีเสมอมานะคะ

(ชื่อเรา) มีเรื่องจะแจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้ (ชื่อเรา) ได้ลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัท aaa แล้วค่ะ

โดยจะมาทำงานวันสุดท้ายในวันที่ 22 เมษายน นี้ค่ะ

แล้วก็แจ้ง contact ของบุคคลที่สามารถติดต่อได้

นี่ก็ส่งเมลไปเพราะคนญี่ปุ่นบอกให้ส่ง ไม่ได้คิดเลยว่าจะมีคนตอบกลับมา

แต่ผู้บริหารคนไทยของบริษัทลูกค้า ส่งเมลกลับมาว่า

“อ้าว จา ปาย หนาย อ่ะ

แล้วใครจะมาแปลให้พวกพี่ล่ะ

ที่ใหม่เป็นไงบ้าง

และอื่น ๆ อีกมากมาย”

ช็อก… คือภาพลักษณ์เขาไม่ใช่คนพิมพ์ภาษาแบบนี้เลย เขาดูจริงจังมาก ออกจะดุนิดๆด้วย

ก็เลยตอบเมลขอบคุณเขาไป

พี่เขาตอบกลับมาว่า

“ครับ อย่างน้อง (ชื่อเรา)นี่ พี่เป็นล่ามที่ถือว่าดีมาก เพราะเรารู้ว่าล่ามมีหน้าที่อะไร ล่ามส่วนใหญ่มักจะใหญ่ตามนาย ใส่อารมณ์ความรู้สึกความเห็นของตัวเองเข้าไปด้วย บางครั้งกลับทำให้การคุยกันไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องเป็นราว เกิดอารมณ์เสียใส่กัน

ซึ่งน้องไม่เป็นแบบนี้ ก็ขอให้น้องคงความเป็นล่ามมืออาชีพอย่างนี้ (จนกว่าจะมีอาชีพอื่นที่พบว่าใช่ตัวตนของเรา) และมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ การงานที่มั่นคง และครอบครัวที่อบอุ่นนะครับ

สู้ๆๆๆๆๆๆนะครับ”

เวลาผ่านไปหลายปี ตอนนี้เราไม่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นล่ามที่ดีรึเปล่า เรารู้มั้ยว่าล่ามมีหน้าที่อะไร

แต่เราไม่เคยทำตัวใหญ่ตามนาย เพราะชอบเป็นผู้หญิงตะเร้กตะน้อยน่าร้ากกก (แหวะ)

ใส่ความเห็นส่วนตัวมั้ย คิดว่าถ้าใส่จะเป็นการช่วยทบทวนความจำร่วมกันนะ แต่ก็จะบอกให้ชัดเจนว่าอันนี้ฉันพูดเอง อันนี็ฉันคิดว่า คือไม่พูดเองแล้วปล่อยไปทั้งอย่างนั้นแต่แปลกลับเพื่อทวนความเข้าใจให้ตรงกันด้วยน่ะ เจตนาแบบนั้นมาตลอดและทำแบบนั้นมาตลอด ยกเว้นมีเวลาที่จำกัดจริง ๆ

มีความเป็นล่ามมืออาชีพมั้ยก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีอาชีพเป็นล่ามมาตลอดเลย ก็คือยังไม่เจออาชีพอื่นที่ใช่ตัวตนของเรา

ตอนนี้ทำงานแปลด้วย คือด้วยนิสัยชอบอ่านหนังสือและเป็นอินโทรเวิร์ตโคตร ๆ (ก็อยากเป็นไมโครซอฟท์เวิร์ดบ้าง – – อันนั้นมันโปรแกรม!) เลยคิดว่าตัวเองน่าจะชอบการเป็นนักแปล แต่ก็ยังเป็นอะไรที่ใกล้กับงานล่ามอยู่ดี ตอนจบใหม่ๆเคยแปลไลท์โนเวล ตอนนี้ก็แปลมังงะอยู่ มีงานแปลเอกสารฟรีแลนซ์เรื่อย ๆ แต่รายได้จากการแปลไม่เท่ากับการเป็นล่าม ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักแปลอย่างเดียวได้

สำหรับเรา งานแปล (เชิงสร้างสรรค์ ที่ไม่ใช่แปลเอกสารที่เป็นแนวเหมือน academic writing) ยากกว่างานล่าม เพราะเราทำงานล่ามมาเยอะกว่า โหมด auto pilot เราทำงานได้ประมาณหนึ่ง ไม่ได้เก่งนะ แต่คิดว่าอยู่ในระดับทำงานได้ จบงานได้ราบรื่นดี

แต่งานแปลเรายังพบว่าตัวเองยังมีข้อบกพร่องค่อนข้างเยอะ คือก็ทำงานแบบจบงาไนด้ แต่มันยังไม่ “สวย” อ่ะ ยังไม่ใช่นักแปลที่เก่ง และการเป็นนักแปลที่เก่งนั้นยากกว่าการเป็นล่ามที่พอทำงานได้มากๆ ต้องอาศัพทักษะและประสบการณ์หลายอย่างมากๆ

สำหรับเราแล้ว ขุมนรกของล่ามสบายกว่าขุมนรกของนักแปล

แต่ไม่ว่าจะอันไหน ทั้งหมดนี่ก็เป็นนรกที่เราเลือกเอง 555

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีฉุดโจฉะมารัวๆ คือตอนนี้ไม่มีล่ามกลางคอยซัพพอร์ตเวลาแบบนี้แล้ว พี่ล่ามกลางลาออกไปก็ไม่ได้มีคนมาแทนอ่ะ แล้วเราก็มีตารางประชุมแบบแน่นมาก ไม่สามารถไปซัพพอร์ตฉุดโจฉะได้ตลอดบิสสิเนสทริปของเค้า เหมือนต้องวาร์ปไปวาร์ปมา งานยุ่งกว่าเดิมมากๆ

มีลุงคนหนึ่งเคยไปอเมริกาและจีน แต่เพิ่งมาไทยครั้งแรก

ลุงคะ ลุงจะมากินเหี้ยที่ประเทศของฉันไม่ได้นะคะ

น่าจะโดนเทรนนีที่เคยมาอยู่ไทยปีนึงหลอกเอา

สุดท้ายนี้ Happy Anniversary ขอบคุณตัวฉันที่ขยันทำงาน ถึงแม้จพอยากถูกหวยและเป็นคนเมาที่ร่ำรวยมากกว่า

ลากันไปด้วยแก๊กรวมๆที่วาดช่วงนี้

เด็กเลี้ยงแกะ

เราเอาโพสเก่าที่เขียนไว้ในเฟซบุ๊กมาโพส เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว

บอกคนอื่นไว้ตั้งแต่เช้าว่าเราทำงานหนักติดต่อกันมานานมาก ตอนนี้เปิดโหมดออโต้ไพลอตนะ อย่ามาถามทีหลังว่าแปลอะไรไป ตอบไม่ได้ จดเมโม่กันเอาเอง ไม่จำให้ใครทั้งนั้น ทำไม่ได้แล้ว

แปลตั้งแต่ 7:30-19:20 แบบพูดตลอดอ่ะ จนสุดๆแล้ว ทั้งคาเฟอีนจากกาแฟและชาเขียวเข้มๆก็ใช้จนหมดหลอดแล้ว ก็เลยบอกว่า 「もう人間の限界です。」แล้วเดินออกจากห้องประชุมเลย

มีพี่คนนึงจะให้แปลต่อ ถามว่ามีใครจะขับรถไปส่งเราได้บ้าง
นี่ “ไม่ค่ะ ไม่อยู่แล้วค่ะ จะอ้วกแล้ว ต่อให้ไปส่งก็ไม่อยู่ค่ะ ไม่มีความสามารถในการแปลให้ถูกแล้ว” (หมายความอย่างที่พูดจริงๆเพราะเบลอจนพูดชื่อคนผิดๆถูกๆ)

ลุงๆบอกว่า 「働きすぎ」

ใช่…

แต่ลูปนรกยังไม่จบ พรุ่งนี้ตารางเดิมก็เต็มแน่นถึงโอทีแล้ว แต่ก้อต้องนัดคุยวันนี้ที่ไม่จบต่อ

ก็ถามออแกไนเซอร์ว่าแล้วจะคุยถึงกี่โมง ก็บอกมา ถ้าเลยเวลารถรอบโอทีอีก ให้อยู่ก็จะอยู่ถ้าให้เอารถมาเองก็ทำให้ได้ จริงๆไม่อยากขับรถหรือขี่มอไซค์ในสภาพที่เหนื่อยขนาดนี้แต่ถ้าจะเอาจริงๆจะทำให้แต่วันนี้ได้โปรดปล่อยกุไปนอนนนน กุขอร้องงงง ไหว้ล่ะ

ตอนมีคนบอกให้อยู่แปลต่อ ตอบไปแบบนั้นนี่คือระงับอารมณ์แล้วนะ ถ้าไม่ระงับคือหันไปชกหน้าแล้ว แต่ถ้าทำอย่างนั้นน่าจะร้ายแรงถึงขั้นไล่ออก

ถ้าตกงานแล้วไปเปิดบริษัทของตัวเองดีมั้ยนะ คิดชื่อไว้แล้ว บริษัท ความอดทนมี จำกัด

แถมอีกเรื่อง วันนี้ตอนแปลออดิท ลุงออดิเตอร์ถามว่า รู้จัก オオカミと少年 มั้ย นี่ก็งง จนลุงบอกว่า イソップ物語 (イソップ寓話) ก็ประมวลผลประมาณ 3-5 วินาที (ถือว่านาน ช่วงนี้สมอง error)

แล้วก็ “อ๋ออออออ พี่รู้จักเรื่องเด็กเลี้ยงแกะมั้ยคะ”
มันเป็นเรื่อง mis-judgment ของเครื่องจักรอ่ะ ถ้าเครื่องจักร mis-judment บ่อยๆ เครื่องจักรจะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ แต่พอเครื่องมันดักงาน NG ได้จริงๆ คนดันไม่เชื่อมัน เลยเป็นเหตุให้ปล่อยของเสียหลุดไปยังลูกค้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โรงงานต่างประเทศมาแล้ว

ลุงบอกว่าโรงงานประเทศนั้นโดนหมาป่าจับแดกไปแล้ว

[ภาษาญี่ปุ่น] ชวนไปเก็บ(คำศัพท์เกี่ยวกับ)เห็ด และพาชิมชาขี้ม้า

เคยเขียนถึงเห็ดเยื่อไผ่ไปแล้ว ตอนที่ต้องแปลในงานแต่งงานแล้วมันมีเมนูกระดูกหมูตุ๋นเยื่อไผ่ ซึ่งไม่ใช่เยื่อของต้นไผ่ แต่มันคือ เห็ดเยื่อไผ่ วันนี้ก็เลยไปรวบรวมเห็ดชนิดต่างๆเท่าที่จะนึกออกมา แต่จริงๆมันมีเห็ดเยอะมาก และมีเห็ดที่มนุษย์ยังไม่รู้จักอีกเยอะ (ตามที่เราดูสารคดีเห็ดใน Netflix)

キヌガサタケ เห็ดเยื่อไผ่

エリンギ เห็ดออรินจิ เห็ดนางรมหลวง

なめこ เห็ดนาเมโกะ

きくらげ เห็ดหูหนู

えのきたけ เห็ดเข็มทอง

まいたけ เห็ดไมตาเกะ

まつたけ เห็ดมัตสึตาเกะ เห็ดสน

ひらたけ เห็ดนางฟ้า

しいたけ เห็ดหอม

ぶなしめじ เห็ดโคนน้อย

マッシュルーム เห็ดแชมปิญอง

ツチグリ เห็ดถอบ เห็ดเผาะ

ツチグリのお汁 แกงเห็ดถอบ

ワライタケ เห็ดหัวเราะ

พอค้นไปเรื่อยๆก็เจอคำที่น่าสนใจแถมให้อีกนิดหน่อย

ช่วงปีใหม่มีพี่คนหนึ่งไปราชบุรีมา เขาซื้อขนมตุ๊บตั๊บมากแจก แต่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ได้ขนมจากคนญี่ปุ่นเยอะ พอพี่คนนี้มาแจกขนมตุ๊บตั๊บ ก็เลยมีคนแซวว่า นี่ขนมญี่ปุ่นเหรอ

พี่เค้าเลยบอกว่า ซื้อมากจาก ราชะบุรีโตะ (ราชบุรี)

นี่ก็ขำ งั้นก็ขนม ตุ๊บุต๊ะบุ สินะคะ

น่าจะเคยเขียนถึงไปแล้วแหละ

มีคนถอดเสียงมาว่า トゥップタップ เราก็สงสัยนะทำไมเป็น ぷ ไม่ใช่ ぶ

ก็อาจจะต้องอธิบายว่าเป็น ピーナッツのお菓子

พอดีวันนี้เจอที่คนญี่ปุ่นเขียนถึงข้าวแต๋น タイ風ポン菓子〈カオテーン〉

ก็เลยสงสัยว่าแล้วข้าวซอยตัดล่ะ

จริงๆคนญี่ปุ่นบางคนอาจจะรู้จักข้าวซอย ถึงไม่แมสเท่าผัดไทย แต่ก็อาจจะมีคนเคยได้ยิน

แต่จะบอกว่า カオソーイのお菓子 ก็อาจจะงงว่าทำไมข้าวซอยที่เป็นอาหารถึงเป็นขนมได้

เสิร์ชเจอว่าคนจีนเรียกข้าวซอยตัดว่า 沙琪玛 พอแปลงกลับเป็นญี่ปุ่นได้คำว่า シャーチーマー ชาขี้ม้า

หน้าตาเหมือนข้าวซอยตัดเป๊ะเลย

ก็เลยคิดว่า ถ้าต้องแปลคำว่าข้าวซอยตัด คงแปลว่า チェンマイ風シャーチーマー ล่ะมั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าข้าวซอยตัดกับชาขี้ม้าทั่วๆไปมันต่างกันยังไง

พูดถึงข้าวซอยตัด นี่เคยเขียนเหมือนไดอารี่ลงสเตตัสเฟซบุ๊กไว้ จำไม่ได้ว่าเอาลงบล็อกรึยัง เขียนไว้ว่า

ขนมสีเหลือง

อาทิตย์ที่แล้วมีคนเอาข้าวซอยตัดมาแจก แต่เราไม่ค่อยชอบกิน แล้วรู้ว่าน้องจ. น้องในแผนกชอบกิน

บนหลักการพื้นฐานของการแจกขนมในแผนก ถ้ามันมีน้อย ใครไม่มา/ไม่อยู่ จะไม่ได้ แล้วช่วงนั้น น้อง จ. ลาสองวันเลยเพราะลูกเค้าไม่สบาย

พอมาวันจันทร์ นี่ก็เดินเอาข้าวซอยตัดไปให้น้อง จ. รู้ว่าชอบเลยเก็บไว้ให้อ่ะ น้องเค้าก็ดีใจมาก พี่ผู้ชายอีกคนเห็นก็บอกว่า จริงๆพี่ก็เก็บไว้ให้น้องจ.เหมือนกัน แต่พี่หิว พี่เลยกินหมดไปแล้ว

ตอนเที่ยงเรานั่งกินแคมปัส กินหมดแล้ววางถุงไว้บนโต๊ะแล้วก็นั่งก้มหน้าก้มตาวาดรูป ยังไม่ได้เอาไปทิ้ง น้องจ. ก็เดินมาหยิบถุงไปดู แล้วพูดว่า “ชอบกินเหมือนลูกหนูเลยอ่ะ” —ตอนน้องเขามาทัก เราก้มหน้าก้มตาวาดรูปจริงๆ แทบไม่ได้มองเลย

ช่วงบ่ายน้องจ. เดินผ่านเรา น้องก็ถามว่า “ไหนการ์ด?”
นี่ “การ์ดอะไร”
น้องจ. “การ์ดที่แถมมากับขนมสีเหลืองอ่ะ อย่าบอกนะว่าทิ้งไปแล้ว”
นี่ “ห๊ะ มันแถมการ์ดด้วยเหรอ” (ข้าวซอยตัดที่ไหนแถมการ์ดวะ ไม่เคยเห็น)
น้องจ. “มี มันมี ลูกหนูสะสม”
นี่ “เดี๋ยวนะ ขนมสีเหลือง? อ๋ออออออ แคมปัสสสสสส”
เราก็เดินหยิบการ์ดดาบพิฆาตอสูรให้ มีอยู่ 4 ใบ มีทันจิโร่ด้วย น้องเขาก็ดีใจมาก บอกว่าจะเอาไปเซอร์ไพรส์ลูกชาย ลูกชายชอบมาก

เอ้อ อาทิตย์ที่แล้วก็คิดอยู่ว่าทำยังกับการ์ดดี คือไม่ได้เก็บอ่ะ เคยเก็บแต่การ์ดมินเนี่ยน

เหมือนแคมปัสอันก่อนมันแถมเป็นเหรียญพลังมั้ง เราน่าจะโยนๆไว้ในลิ้นชักโต๊ะนี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้หาให้เขาดีกว่า

ใดใดก็คือสมองเราเนี่ย คิดได้ไง!? ข้าวซอยตัดแถมการ์ด ไปหมดแล้วสมงสมอง ทำงานจนโง่ลงมีอยู่จริง 55555555555

พี่อีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พูดว่า “สี่ใบบบบบ เบาหวานแดกแล้ว 555555555”

เรา “อื้อ ที่เห็นเป็นขานี่ไม่ใช่ขาจริง ขาจริงตัดไปแล้ววววว”

บ้าาาา ก็ไม่ได้กินบ่อยขนาดน้านนนนนนนนนนนนนน แต่ช่วงมินเนี่ยนนี่กินบ่อยจริง

แล้วก็คุยกับพี่คนนั้นเรื่องขนมหลอกเด็กที่ชอบแถมของเล่น นี่จำได้ว่าชอบซื้อคัม คัม มันมีอันที่เป็นหุ่นกระดาษผีน่ารักๆ พี่ชายเรามันเก็บ นี่เลยเก็บตาม

พี่ที่ทำงานก็ถามว่า “ทันคัม คัมด้วยเหรอ โคตรเก่าอ่ะ 5555”
ทันหมดเลย คัม คัม แล้วก็ขนมอะไรไม่รู้ที่แถมสติ๊กเกอร์คนเก่งฟ้าประทาน (Yu Yu Hakusho) ชอบ Yu Yu Hakusho จากสมุดสะสมสติ๊กเกอร์นี่แหละ แล้วสติ๊กเกอร์เขาสวยจริง มันจะมีใบพิเศษวิบวับๆด้วย

น้อง จ. เล่าให้ฟังว่าลูกเขาชอบ สกู๊ปปี้ ทอยเล็ต นี่ก็ “ห๊ะ อะไรนะ” ไม่เคยได้ยิน น้องก็บอกออกเสียงไม่ถูก เลยเสิร์ชให้ดู มันคือ Skibidi Toilet เป็นหัวโผล่ออกมาจากชักโครก

เอิ่มมมม ไม่เข้าใจเทสต์เด็กสมัยนี้เลยจริงๆ 5555555

อีกเรื่องคือวันนี้ไปเจอคำถามน่าสนใจมาในกลุ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น

Q: คำว่า “คนคุย” มีภาษาญี่ปุ่นมั้ย

มีคนไปตอบว่า 友達以上恋人未満

หรือพูดถึง 彼ピッピ 好きピ

ส่วนเราที่เรานึกออกคือ アッシーくん メッシーくん セフレ

เพิ่งรู้ว่า ○○くん มีคำเรียกแยกย่อยและใช้แยกกัน 流石日本人ですね

เช่น ミツグくん ツナグくん キープくん

คุยกับน้องล่ามไว้พอดี คิดว่าคอนเทนต์อันนี้เหมาะกับเพจน้องมากกว่า นี่ก็เลยเขียนเรื่องเห็ดตามที่คิดไว้ตอนแรก น้องบอกว่านึกถึงคอนเทนต์ まつたけしごき ที่เคยลง

😓😓😓

คิดต่างเชิญทางอื่น คิดหื่นเชิญที่นี่

แถมท้ายโพส ทำงานหนักเกิน แผ่นดินไหวแต่เราไม่ไหว

สุขสันต์วันวาเลนไทน์จากคางคกตัวหนึ่ง

เนื่องในวันแห่งความรัก บังเอิญไปอ่านหนังสือมาเล่มหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าได้คำบอกใบ้สำหรับสิ่งที่กำลังตามหาอยู่พอดี รู้สึกว่ามันเป็นก้าวแรกที่ดีสำหรับคนที่เหมือนจะรักตัวเองแต่ก็ทำพฤติกรรมที่ทำร้าย(จิตใจ)ตัวเองอยู่บ่อยๆ

หนังสือชื่อ คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด – Robert de Board

ใช่ เราเป็นคางคก

แต่ความเป็นจริงคือไม่ได้มีเวลาไปพบนักจิตบำบัดเลยเพราะงานยุ่งแบบพีคสุดๆมา 3 อาทิตย์แล้วล่ะ อาการมาออกในช่วง 4-5 วันที่แล้ว คือร้องไห้คนเดียวสามวันติด อาบน้ำก็ร้อง จะนอนก็ร้อง ขึ้นรถรับส่งกลับบ้านก็ร้อง มันเหนื่อยเกินไป แต่บอกไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง

ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นไม่ร้อง แต่เหมือนวิตกกังวล นอนไม่หลับ

เรายังทำทุกอย่างได้ตามฟังก์ชันแบบที่มันควรจะเป็น มีแค่นอนไม่หลับบ้างนิดๆหน่อย เรื่องงานก็ยังรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้

เคยมีคนบอกว่าเราเก่งที่ถอยทันก่อนที่สภาพจิตใจมันจะ crack

ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่ “ถอยทัน” มาตลอด (ไม่ใช่ถอยหมอน หมอนเดิมยังใช้ได้ดีอยู่) แต่ครั้งนี้เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ หรือมันจะ crack ไปแล้ววะ?

ทุกๆครั้งที่ต้องอดทน ก็จะพยายามอดทนให้มันผ่านพ้นไป แต่ดูเหมือนจะมีเรื่องที่ต้องอดทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆยังไงก็ไม่รู้

ตอนคางคกไปพบนกกระสาซึ่งเป็นนักจิตบำบัด นกกระสาพูดถึงความรู้สึกพื้นฐานของเด็กที่เปรียบได้กับแม่สี

– ความสนุก

– ความรัก

– ความเศร้า

– ความโกรธ

– ความกลัว

พออ่านถึงตรงนี้เราอ๋อเลย

ความเหนื่อยจากการทำงานหนักต่อเนื่องกันนานๆมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าถามว่า “ฉันกำลังรู้สึกอะไรอยู่” สิ่งที่เป็นสีที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ “ความโกรธ” พอมาถึงตรงนี้ก็พอจะรู้เหตุผลของภาวะที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้แล้วล่ะ

เราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องอ่านบรรยากาศแล้วแปลสิ่งที่คนพูดพูดไม่รู้เรื่องให้ออกมาเป็นสิ่งที่พอยอมรับได้ในความรู้สึกของคนที่พึงพอใจในสิ่งต่างๆยากมาก

ดูเหมือนพยายามทำอะไรที่เป็นไปได้ยากอยู่นะ แต่เราก็จำต้องทำ

หลายๆครั้งเรารู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าถ้าแปลออกไปจะเกิดอะไรตามมาใน 3…2…1 เอาแล้วไงล่ะ

มันเห็นภาพถึงขนาดนั้นเลย

แล้วเราก็หลอนด้วย

แต่หน้าที่ของล่ามก็ต้องแปล

พอสิ่งที่เราคิดไว้มันเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าแปลออกไปตรงๆ คนฟังก็รู้สึกไม่ดี เราก็เลือกจะปรับให้ซอฟท์ลงตามที่มีคนขอมา หรือใช้การอธิบายเสริมเพื่อให้เข้าใจในความหมายของถ้อยคำ โดยตัดเอาอารมณ์ที่เรารับมาเต็มๆทิ้งไป

แต่คิดว่ามันหายไปมั้ย? มันไม่หายไปหรอก มันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ

ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าต้องวางลง ต้องทิ้งไป แต่มันเป็นขยะที่เป็นคราบดำเหนียวๆติดในใจ ถึงพยายามทำความสะอาด (ด้วยการนอนหรือทำสิ่งที่ชอบ) แค่ไหน มันก็เอาออกได้ไม่หมด พอไปทำงาน เราก็ต้องไปเจอสภาวะคราบเหนียวที่ว่านั่นอีก มันก็ค่อยๆสะสมจนฝังแน่นขึ้นเรื่อยๆ

มีโควทจากหนังสือที่อยากยกขึ้นมากล่าวถึงเยอะมากๆเลย จนแบบ นี่ฉันจะพิมพ์หนังสือเขาทั้งเล่มรึเปล่านะ? ไม่ได้สิ แต่มันน่าสนใจสำหรับเรานะ

เช่น

“ถ้าคุณถูกบังคับให้ยอมทำตามความต้องการของใครสักคน นั่นหมายความว่าคุณจะไม่โต้เถียง คุณจะทำตามที่เขาบอกและเห็นด้วยกับเขา” — หนังสือเรียกสิ่งนี้ว่า “พฤติกรรมยินยอม”

คางคกพูดกับนกกระสาว่า “นอกจากการทำตามความต้องการของพ่อแม่แล้ว ผมอยากทำให้พวกเขาพอใจเสมอ ผมไม่แน่ใจว่าเคยทำสำเร็จหรือเปล่า แต่จำได้แม่นว่าอยากทำให้พวกเขาพอใจและภูมิใจในตัวผม บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมชอบคุยโวโอ้อวด พ่อแม่ดูจะไม่เคยพอใจหรือประทับใจในสิ่งที่ผมทำเลย ดังนั้นผมจึงหมกมุ่นอยู่กับพฤติกรรมฟุ่มเฟือยและโง่เขลาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพวกเขา”

การขอโทษ

“ขอโทษก่อนเพื่อไม่ให้เขาโมโห”

การพึ่งพา

“สำหรับคนส่วนใหญ่ แก่นแท้ของการเติบโตคือการลดและสุดท้ายก็ทำลายสายสัมพันธ์ของกาารพึ่งพาเพื่อกลายเป็นคนที่มีอิสระและพึ่งพาตัวเองได้ น้อยคนนักจะทำได้อย่างสมบูรณ์ บางคนทำได้เพียงบางส่วน ขณะที่หลายๆคนพึ่งพาคนอื่นไปตลอดชีวิต”

ส่วนนี่คือความคิดของเรา

Q: ถ้าความโกรธคือองค์ประกอบพื้นฐานของพฤติกรรม ทำไมถึงไม่รู้สึกโกรธ?

A: ไม่! ฉันโกรธ แต่ฉันต้องไม่แสดงออก เพราะคนอื่นไม่อยากให้ฉันแสดงความโกรธออกมา

นกกระสาบอกกับคางคกว่า “คุณเรียนรู้วิธีโกรธแบบไม่ก้าวร้าว”

ฉึก! แทงใจดำอย่างจังเลย

การโกรธแบบไม่ก้าวร้าวไม่ใช่การระงับความโกรธ ความโกรธไม่ได้หายไป

หนังสือยกตัวอย่างคล้ายๆกัน แต่ในหัวเรานึกภาพหม้ออัดแรงดัน เพราะเป็นสิ่งที่เราใช้ตอนทำอาหาร

พอของข้างในเดือด แต่ในฝาปิดสนิท จะเกิดทะเลบ้าคลั่งในหม้อ จังหวะนั้นถ้าเราเกิดเปิดฝาหม้อ อะไรจะเกิดขึ้น

ตู้ม! แรงดันที่อัดแน่นภายในจะระเบิดออกมา ความรุนแรงถึงขั้นดันฝาหม้อให้ลอยไปกระแทกเพดานได้เลย

แต่หม้ออัดแรงดันมีเซฟตี้วาล์ว ที่ช่วยให้เราปล่อยแรงดันออกมาทีละน้อย แบบช้าๆได้

นั่นแหละคือการโกรธแบบไม่ก้าวร้าว

หนังสือเรียงลำดับพฤติกรรมจากแรงไปเบา ดังนี้

ต่อต้าน งอแง งอน หงุดหงิด เซื่องซึม เชื่องช้า เบื่อ ถอยห่าง

โอ้โห… ใช่ เราตอบสนองต่อความรู้สึกโกรธของตัวเองด้วยอาการงอแงก่อนเลย ขอโทษคนที่ต้องมาพบเจอเราในสภาพนั้นด้วย แม่งไม่น่าดูเลยสักนิด

หงุดหงิด เซื่องซึม เบื่อด้วย

จนมันพัฒนาตัวเองและกลายร่างเป็นความเศร้า

เราคือไอ้ก้อนความโกรธ ความหงุดหงิด ความเหนื่อย ความเบื่อ ความเศร้า ที่ไปทำตัวงอแงใส่คนรอบข้างอีก เอาเข้าไป… เวรแล้วมั้ยล่ะ กว่าจะรู้ตัว

ยังอ่านไม่จบนะ มีอีกอันที่ต้องโควท

“ไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์ใดจะรุนแรงไปกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองอีกแล้ว และไม่มีผู้พิพากษาคนใดจะโหดเหี้ยมไปกว่าตัวเราเอง”

“อาจจะฟังดูใจร้ายไปสักหน่อย แต่คุณเท่านั้นที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ มีคำถามมากมายที่คุณควรพิจารณา เช่น คุณเลิกตัดสินตัวเองได้มั้ย คุณอ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้นได้มั้ย และบางทีคำถามที่สำคัญที่สุดคงเป็น…คุณเริ่มรักตัวเองได้ไหม”

เรายังอ่านหนังสือไม่จบเล่ม แต่เราจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง หรือบางทีอาจจะเป็นคำขอร้อง

ช่วยใจดีกับตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม

อย่าเพิ่งไปงอแงใส่คนอื่น ลองใจดีกับตัวเองดูก่อน

และวันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2024 เราตัดสินใจให้รางวัลตัวเองด้วยการเริ่มรักตัวเอง (สักที)

ขอโทษนะที่ทำให้ต้องอดทนเหนื่อยมาตั้งนานกับความพยายามจะทำให้คนอื่นพอใจมาตลอด ถึงจะดูเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่จริงๆแล้วเราทำตามใจตัวเองคนที่อยากทำให้คนอื่นพอใจน่ะ

เราเก่งเรื่องทำในสิ่งที่ต้องทำและทำในสิ่งที่ควรทำ

แต่เราโง่สุดๆในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

เอาจริงๆตอนนี้เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากทำอะไร แต่จะเริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้วล่ะ

ทักษะที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นล่ามโดยตรงแต่มีไว้ก็สะดวกดี

พี่ผู้จัดการลาไปเมื่อวันจันทร์กับวันอังคารด้วยอาการบ้านหมุน

คำศัพท์ที่เคยเจอก็จะมี
良性発作性頭位めまい りょうせいほっさせいとういめまい โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนหรือโรคเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า (บ้านหมุน)
メニエール病 โรคแมนิแยร์ เป็นที่หูชั้นใน น้ำในหูไม่เท่ากัน
ไม่งั้นก็เป็นอาการบาดเจ็บทางสมองไปเลย

อาการก็จะมี
めまい เวียนหัว
吐き気がある อยากอ้วก
耳鳴り หูอื้อ
ประมาณนี้

เมื่อเช้าก็บอกลุงแอดไวเซอร์ไว้ว่าพี่เค้ามีอาการเวียนหัวนะ ไม่รู้ว่าเป็น 良性発作性頭位めまい รึเปล่า อันนี้โรคฮิตของโรงงานเรานะ ช่วงหนึ่งคนเป็นเยอะ ระวังตัวไว้ให้ดีๆล่ะ (จริงๆเราอาจจะขู่ลุงเรื่องอื่น 5555) แต่ก็บอกว่าแซวเล่น มันไม่ใช่โรคติดต่อหรอก

เหตุผลจริงๆที่บอกเพราะพี่คนนี้เป็นคนชอบฝืนทำงาน เรากลัวคุยกับลุงแล้วพี่เค้าอยากอ้วก แล้วฝืน เดี๋ยวฝืนไม่ไหว อ้วกออกมาจริงนี่แฮปปี้วาเลนไทน์เดย์เลยนะ ไม่เอาาาา

ตอนบ่ายสามครึ่งพี่เค้าก็ขอคุยกับลุงจริงๆ เรื่องซีเรียสด้วย
นี่ก็บอกพี่เค้าว่า “พี่คะ พี่ไม่สบายอยู่นะคะ ถ้าไม่ไหว อยากอ้วก ไม่ต้องทนนะ ไปห้องน้ำได้เลย นั่งเก้าอี้มั้ยคะ”
พี่เค้าก็ไม่นั่ง ให้เรานั่ง สักพักก็คืออาการไม่ดีจริง พอทักก็บอกหูอื้อ แต่คือเห็นหน้าแดงๆ ตาแดงๆ
เจ้าตัวก็พยายามทน
นี่ก็บอกเค้าว่า “สีหน้าไม่ดีเลยค่ะ ไหวมั้ยคะ”
เจ้าตัวเลยขอไปเข้าห้องน้ำ เดินกลับมาก็คือบอกว่าขอตัดจบก่อนเดี๋ยวมาคุยใหม่วันหลัง

ก็เนี่ยไง รู้นิสัยเพื่อนร่วมงานทุกคน เดาได้ขนาดนี้เลยแหละ ถ้าไม่ทักเอาไว้ก่อน อาจจะมีโศกนาฎกรรมได้

การอ่านบรรยากาศก่อนล่วงหน้าช่วยทำให้เราสามารถรอดพ้นจากการโดนอ้วกใส่ได้ เมพขิงๆ

สวัสดีปีใหม่ 2024

สวัสดีปีใหม่ทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาโดยตลอดถึงแม้ว่าเราจะอัพบล็อกไม่บ่อยและบ่นๆอะไรก็ไม่รู้ เอาจริงๆปีที่แล้วเป็นปีที่เขียนสเตตัสแล้วกดซ่อน หรือเขียนบล็อกเอาไว้แต่ไม่ได้โพสเยอะมาก เพราะเรารู้สึกว่ามันน่าเบื่อน่ะ

ก็ขอบคุณที่คอยเข้ามาอ่าน เม้นให้กำลังใจเรา หรือแชร์เรื่องราวของตัวเองให้เราฟังบ้าง เราอาจจะตอบกลับไม่ค่อยเก่ง แต่เวลาอ่านเม้นแล้วเราดีใจมากๆเลย เอาไปอวดแม่ อวดเพื่อนด้วยซ้ำ 55555

ขอบคุณนะคะที่บอกเล่าเรื่องราวดีๆ ขอบคุณที่รู้สึกดีกับสิ่งที่เราเขียน ปีที่แล้วสำหรับเราเป็นปีที่ดีมากๆเลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะทำงานหนัก แต่เราก็ชอบที่จะทำแบบนั้นเอง มันก็เหนื่อยแหละ มีความเศร้าลึกๆที่อัดแน่นอยู่ในใจด้วย แต่ดูเหมือนว่าเราจะเจอ hint บางอย่าง ซึ่งมันอาจจะทำให้เราสามารถเขียนบล็อกได้อย่างสนุกสนานมากขึ้นก็ได้

ปีใหม่ปีนี้ทำงานข้ามปีจริงๆ ที่คนที่ทำงานถามว่าปีใหม่ทำอะไรหรือไปเที่ยวไหน เราตอบทุกคนไปว่า “ทำงาน” ก็คือทำงานจริงๆ วันนี้ก็ทำค่ะ นั่งแปลมังงะอยู่เลยเนี่ย หยุดยาวไม่เมาแค่วันสิ้นปี วันอื่นคือกินเหล้าทุกวัน 55555

แอบเมาท์เจ๊ร้านขายเหล้าหน้าหมู่บ้านหน่อย คือมีร้านเหล้าอยู่หน้าหมู่บ้าน มีของให้เลือกเยอะ มีคราฟต์เบียร์หลายตัว ยี่ห้อตลาดก็คือแช่แบบเป็นวุ้น ไวน์ เหล้าหลายชนิด ขนมถุงๆ มิกเซอร์เรียกได้ว่ามาที่เดียวครบจบสำหรับสายเมา
วันที่ 27 ก็ไปปั่นจักรยานเล่น แล้วก็แวะซื้อของ
เจ๊เจ้าของร้าน “ขาดเหลืออะไรแวะมานะ เจ๊เปิดถึงทุ่มครึ่ง”
นี่ก็เลือกบรั่นดีอยู่ มีหลายยี่ห้อมาก เลือกไม่ถูก เค้าก็แนะนำทุกตัวเลย นี่ก็จิ้มมาสักขวด
เจ๊ “พอเหรอ เจ๊เปิดอีกทีวันที่ 4 โน่นเลยนะ ปีใหม่เราจะกินพอเหรอ”
เวนนนนน คือนี่กินคนเดียว ขวดนึง 700 ml ถ้ากินไม่พอนี่คืออาบแล้วป่ะ พอเหอะ สงสารตับ แต่ด้วยความอยากลองก็เลยซื้อมา 2 ขวด ต่างยี่ห้อกัน ตั้งใจไปซื้อ M นะ ไม่ได้ยี่ห้อที่ตั้งใจไปซื้อซะงั้น
จ่ายตังค์แล้วนึกได้ว่า เอ้า กุมาจักรยานนี่หว่า แล้วน้องเป็นรถพับแบบม้วนหาง ไม่มีขาตั้ง มันต้องมีท่าแบบกางออกมาปั่น แล้วรถพับล้อจะเล็กหน่อย หน้ามันจะไวๆหน่อย
เจ๊ “แบ่งเป็นสองถุง ถุงละขวดแล้วกันเนอะ” เวลาปั่นกลับบ้านจะได้บาลานซ์น้ำหนัก
เจ๊ขายเก่งมากเลยอ่ะ รู้ใจสุด ยอมมมม เอาเงินไปค่าาาาาา
ตอนจะไปเจ๊ยังชวนต่อ “ปีหน้ามาเอาตัวอื่นๆไปลองนะ”
ขายเก่งขนาดนี้ คิดว่าเรารอดมั้ยล่ะ
เนี่ยยยย เพราะร้านเหล้าอยู่หน้าหมู่บ้านไง ทุกวันนี้เราเลยเป็นคนสวยไม่สร่าง 555555555

งานแปลที่ทำข้ามปีคือแปลมังงะ เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะสูงมากสำหรับเรา อย่างงานแปลรายงานปัญหาคุณภาพหรือพวกมาตรฐานการทำงานนี่เรานั่งทำได้สบายๆ หรือพวกฉลากสินค้าที่เป็นงานแปลที่เรารับทำก็คือนั่งทำได้เรื่อยๆ ไม่เดือดร้อนอะไรเลย แต่พอแปลมังงะ มันคือการเขียนเชิงสร้างสรรค์อ่ะ เราคิดมากเรื่องคำที่เลือกมาใช้แปลมากๆ อยากอ่านหลายๆรอบ อยากทำให้มันดี ตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองทำได้ช้ากว่า output ที่ควรจะมีในมือเมื่อเทียบกับกำหนดส่ง แต่ก็ยินดีที่จะทำงานแนวนี้ไปเรื่อยๆ เพราะมันทำให้เราได้อ่านภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น ปกติถ้าไม่ใช่งานคือแทบจะไม่อ่านเลย

ปีที่แล้วเป็นปีที่ใครให้ทำอะไรก็ทำถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรง รับมือกับทุกสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาโดยพยายามรักษาอารมณ์ให้นิ่งที่สุด เก็บความรู้สึกเก่งมากๆ แต่ระบายมันออกไม่เป็นเลย

hint ที่เราเจอก็คือการยอมรับในตัวตนของตัวเอง พอเรายอมรับว่าเรามันเบียว ก็เข้าใจเลยว่าก่อนหน้านี้ที่เรารู้สึกว่าตัวเองเขียนแล้วน่าเบื่อ เพราะเราพยายามจะซ่อนความเบียวของตัวเองนี่แหละ เมื่อเทียบกับปีเก่าๆที่เราเขียนแบบไม่คิดอะไร เรารู้สึกว่าเราโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเบื่อ จืดชืด ทำแต่งาน ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร

ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้นะ ลุงแอดไวเซอร์หัวหน้าเก่าเราเคยบอกว่าเราประสบความสำเร็จเร็วเกินไป สำหรับเรานั่นก็ไม่เรียกความสำเร็จอ่ะ มีบ้าน มีรถ แล้วยังไง? สำหรับเราบ้านคือที่อยู่อาศัย บ้านเรามีทุกอย่างที่เราชอบ กิจกรรมทุกอย่างที่เราอยากทำ สามารถทำในบ้านตัวเองได้หมดเลย วันหยุดก็เลยแทบไม่ออกไปไหน ไม่เปิดประตูรั้วบ้านด้วยซ้ำ ถ้าต้องเดินทางหรืออกจากบ้านก็คือไปทำงาน คนที่โลกแคบขนาดนี้ จะเขียนอะไรน่าเบื่อๆออกมาก็ไม่แปลกหรอก

งานมันก็เดิมๆ เราก็หมดมุกจะเขียนเรื่องงานแล้ว เนื้อหาเหมือนเดิมเลย แค่เปิดโหมดยาก แล้วเดี๋ยวนี้เรกา็ไม่เกรี้ยวกราดเลย ซอฟท์มาก “ค่ะพี่” “เค้าบอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ อย่าทำอีกนะคะ”

โอ้โห ถ้าเพื่อนเรามาได้ยินเราพูดตอนทำงานมันต้องรู้สึกสยอง แกเป็นใคร๊!? คายเพื่อนฉันออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็แดรกมันลงท้องไปเลยค่า 55555

เอาจริงๆเราไม่แนะนำให้ใครเป็นสายบวกเลยนะ เมื่อไหร่ที่คิดจะบวก คือเราคิดมาดีแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ควรพูดอ่ะ ไม่เคยบวกด้วยอารมณ์ เป็นคนที่เวลาด่าใครคือตั้งใจด่ามากๆ ตั้งใจเลือกคำที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี พิถีพิถัน こだわり おもてなし ในการด่าสุดๆ 555555555555 อิบ้า ใช่เรื่องที่จะมาภูมิใจมั้ยเนี่ย

สิ่งที่ได้เรียนรู้เมื่อปีที่แล้วคือคุณลุงแอดไวเซอร์เราเนี่ย เค้าเป็นตัวตึง ชอบไปตีกับชาวบ้าน แต่เค้าพูดถูกนะ ไปตึงจนแบบคนเกลียดเยอะมาก เราเป็นล่ามให้ลุงก็เหมือนแอบโดนเกลียดไปด้วย (ฮ่วย คุณพี่ช่วยแยกแยะหน่อย อันไหนเราด่าเอง อันไหนเราแปล เห้ออออ) นี่ก็พยายามเซฟลุง คือแปลเอาความหมายครบ แต่ปรับโทนซอฟท์ จนกระทั่งได้ยินลุงพูดประมาณว่า “มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องพูดเรื่องนี้ ถึงจะถูกเกลียดก็ต้องพูดอยู่ดี” ไม่ได้พูดแบบนี้หรอก แต่ความหมายประมาณนี้แหละ เห้ย ว้าวนะ

คือคนไทยไม่ชอบลุง expat ที่มาคาแรกเตอร์ญี่ปุ่นสุดเฮี้ยบแบบนี้หรอก เค้าจะถามหาเหตุผลกับทุกอย่าง แต่ลักษณะร่วมของพี่ๆคนไทยคือ ทำๆไปก่อน เหตุผลค่อยคิดทีหลัง แล้วมันจะไม่สมเหตุสมผลอ่ะ เราเหมือนเล่นเกมฝึกสมองประลองปัญญาทุกวัน เอาจริงๆก็เครียด คือโดยพื้นฐานลุงใจดีและเป็นคนดีมาก มีวันหนึ่งแกไปพูด 朝礼 ช่วงที่มีปัญหาคุณภาพเยอะๆ บอกว่าภรรยาผมสอนไว้วว่าต่อให้เจอปัญหาหนักหนาแค่ไหนก็ยิ้มไว้ แล้วพยายามผ่านมันไปให้ได้ แล้วก็ได้ยินพี่คนไทยพูดว่า “เริ่มที่ลุงก่อนเลย” 55555 โคตรฮา ลุงแกเป็นเสือยิ้มยากจริงๆ เราไปอ่านหนังสือมาเล่มหนึ่ง อาจจะเป็นมุมมองที่เป็น stereotype หน่อยๆ แบบว่าเด็กผู้ชายญี่ปุ่นถูกสอนมาว่าต้องไม่ร้องไห้ ต้องเก็บอารมณ์ ไม่งั้นจะดูไม่แมน ลุงแกเหมือนเคาะออกมาจากตำรา Traditional Japanese Salary Man อ่ะ

ส่วนเราคือคนที่ลุงแอดไวเซอร์คนก่อนที่เป็นสายฮาบอกว่า いいお嫁さんですね ซึ่งขอบอกว่าลุงโดนหลอกแล้ว 55555555 ชั้นคือคนที่ทำงานกับลุงๆวัย 60 มาตลอด ที่มีนิสัยเหมือนลุงใกล้เกษียณอีกคน

คือเหมือนถ้าความคิดสมัยก่อนน่ะผู้หญิงต้องไม่แสดงความคิดเห็น ต้องพูดให้น้อย รับฟัง ให้กำลังใจ แต่ในพาร์ทการทำงาน เราคือตัวตึงคนหนึ่งเลย ถึงแม้หลังๆจะซอฟท์ลงเยอะ แต่ถ้าต้องดุ เราดุมากกกกก

ชอบพี่เท็ดดี้ (expat อีกคน) รู้สึกว่าเค้าฉลาด คือถ้าในพาร์ทของคนทำงานเอง อยากเก่งให้ได้แบบนั้น แต่ถ้าในพาร์ทของการเป็นล่าม เรามีต้นแบบคือพี่ล่ามไอดอลอยู่แล้ว ในชีวิตการทำงานเราเจอคนเก่งภาษาญี่ปุ่นหลายคน พี่คนนี้ก็เก่ง แล้วก็เป็น all rounder คือเก่งรอบด้าน เวลาล่ามก็เตรียมตัวมาดี จะในเวลางานหรือนอกเวลาก็มีบรรยากาศรอบตัวที่สนุกสนานและเป็นมิตร (หรือเพราะเราชอบพี่เค้าวะ เลยมองด้วยฟิลเตอร์แบบบนั้นมาตลอด แต่ก็ปลื้มพี่เค้ามมตลอดอยู่แล้วแหละ ทุกคนรู้โลกรู้)

ปีนี้ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไร(อีกแล้ว) แค่รู้สึกว่าปีที่แล้วเป็นปีที่เรื่องงานดีมาก ก็ขอให้ปังๆต่อไป อาจจะไม่ต้องปังมากเท่าเดิมก็ได้ (แอบเหนื่อย) แต่ขอให้ตัวเองรับมือได้ดีเท่าๆกับปีที่แล้ว ขอให้มีสติ สงบ ทำตัวน่ารักกับคนอื่นต่อไป แต่อย่าลืมใจดีกับตัวเองเยอะๆ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น แสดงมันออกมาในพื้นที่ที่แสดงมันออกมาได้ การหาที่ที่เป็นของตัวเองมันอาจจะยาก การเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่นอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่อย่างน้อยเรายอมรับตัวเองก่อน แล้วสิ่งดีๆจะตามมาเอง ถ้ามันไม่มา ก็สร้างมันขึ้นมาค่ะ เรามันไฟท์เตอร์อยู่แล้ว

เพื่อนสนิทเราอีกคนไปอยู่ออสเตรเลีย มันบอกว่า New Year Resolution 2024 ของมันคือมีชีวิตรอดให้ได้

เรา “ห้ามไปสู้กับจิงโจ้ หนีเท่านั้น! ถ้าจวนตัวจริงๆชกมันที่จมูก เคยเห็นคลิปคนต่อยจิงโจ้เพื่อช่วยหมา ลองศึกษาดู”

เพื่อน “มีวิธีสู้กับนกอีมูบ้างมั๊ย จำเป็นกับชีวิตมาก”

เรา “เรามันคนไทยผู้ชนะทุกเอเลี่ยนสปีชี่ส์นะ อย่าให้เสียศักดิ์ศรีคนไทย จับมันกินให้หมด!!”

ใครมีคลิปสู้กับนกอีมูก็ช่วยเม้นบอกหน่อยนะ เราจะเอาไปให้เพื่อนดู สมัยเรียนก็อยู่มหาลัยที่ต้องเดินหลบตุ๊ดตู่ (น้องเหี้ย) โตมาก็ต้องไปสู้กับนกอีมู สงสารมัน

มหกรรมออดิทมาราธอนสุดยิ่งใหญ่

เราจะเล่าเรื่องงานเป็นซีรี่ส์นะ พอดีไปแปลออดิทไลน์หนึ่งมาแล้วมันเป็นมหากาพย์มาก อาจจะเล่าได้ไม่ปะติดปะต่อสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะพอเข้าใจ และยาวมาก

หลังๆมานี้เราไม่ค่อยได้เล่าเรื่องงานสักเท่าไหร่ มันก็เดิมๆ แค่ปรับเป็นโหมด Hard พอเปลี่ยน expat คนญี่ปุ่น ล่ามเองก็ต้องปรับตัว ถ้า advisor ที่เราแปลให้โดยตรงจะมาแนวกดดัน แต่จริงๆลุงใจดีและทรงแด๊ดดี้มากนะ สายเปย์ด้วย ใส่เงินเป็นรางวัลพิเศษตอนจับของขวัญปีใหม่ให้เยอะมาก พนักงานไปขอให้ร่วมทำบุญจะไปทำอาหารเลี้ยงเด็กบนดอย ลุงก็โดเนทเยอะมากๆ

ก็เป็น Traditional Japanese Expat อ่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี รู้แค่ว่าถ้าเป็นส่วนผสมนี้ คือ

Expat คนญี่ปุ่นที่จริงจัง ถามว่าทำไมกับทุกเรื่อง+คนไทยไปเรื่อยไม่เคยมีเหตุผลอะไรในการกระทำ=ล่ามลำบากมาก

ถ้าแปลแบบ 直訳 รับรองได้บันเทิงจนบรรลัยอ่ะ

เราใช้วิธีฟังข้อความยาวๆ แล้วค่อยอธิบาย เพราะมักตะเจอสถานการณ์ที่พี่คนไทยพูดครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 ไม่เหมือนกัน เราจะฟัง จด flow หรือวาดภาพตาม ถ้ามีตรงไหนที่เราสงสัยเราก็จะถามพี่คนไทยเลย พอได้เนื้อหาประมาณหนึ่งแล้วค่อยแปล

โชคดีที่ first impression ของเรากับลุง advisor ไม่ได้แย่ (อันนี้สำคัญมาก) พอเค้าไว้ใจและเข้าใจว่าเรากำลังพยายามช่วย เค้าก็จะอดทนรอได้ แรกๆลุงก็รอไม่ได้หรอก ใจร้อน เราเข้าใจความใจร้อนของคนอายุ 50 ปลายๆ ถึง 60 กลางๆนะ คือพออายุมากขึ้น เขาจะลืมง่ายอ่ะ ถ้าไม่รีบพูด เขาจะนึกไม่ออกว่านะพูดอะไร ช่วงหลังๆก็เลยไปฝึกทักษะการจดหรือฟังจับใจความให้คมขึ้น ก็เป็นประโยชน์ในการทำงานอยู่นะ

ส่วน VP สมมุติว่าชื่อพี่เท็ดดี้ เป็นคนทำงานละเอียดยิบๆ เนี้ยบมาก ไม่ปล่อยผ่าน (ซึ่งเราชอบมาก เราชอบคนเนี้ยบ) ต่อให้เป็นมาตรฐานของคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เราก็คิดว่าเขามาตรฐานสูงอยู่ดี การแปลเพื่อไล่ตามตรรกะและความสมเหตุสมผลระดับสูงขนาดนี้ต้องใช้ทั้งความรู้ สติ สมาธิมากๆ เราถึงมองว่ามันเป็นการเปิดโหมด Hard ตลอดเวลา เหมือนก่อนหน้านี้เราเล่นโหมด Easy มาตลอด มี Intermediate บ้างนิดหน่อย ไม่ใช่ว่า expat รุ่นก่อนๆไม่เก่งนะ แต่หมายถึงว่ามันเป็นรูปแบบที่เราอ่านออกตั้งแต่แรก เวลาแปลมันเลยง่าย แต่ตอนนี้มันเพิ่มความยาก เราไม่กล้าเดาเลย

ส่วนพี่ๆคนไทย ลักษณะพิเศษที่คล้ายๆกันคือ ถ้าผมพูดไม่รู้เรื่อง ล่ามก็ช่วยหน่อยนะ (ซึ่งจริงๆไม่ดีนะ) หรือถ้าเค้าด่าผม ล่ามก็แปลซอฟท์ๆให้หน่อยนะ (นี่ก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน) แต่เราก็พยายามตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของทุกคนอยู่

เมื่อก่อนจะมีคนชอบบอกว่าเรา 人間らしい แต่เรารู้สึกว่าความเป็นมนุษย์ตรงนั้นของเรามันหายไปเรื่อยๆ การปั้นหน้ายิ้ม พยายามไม่รู้สึก พยายามไม่คิดอะไรมาก หรือรู้สึกอะไรก็เก็บมันเอาไว้ให้มิดกลายเป็นค่า default ปกติของเรา

ซึ่งบอกเลยว่า ถ้าเราอดทนไม่แสดงอาการหงุดหงิดออกไปได้ คนญี่ปุ่นจะได้เป็นคนที่หงุดหงิดแทน (ก็คือเราไม่ได้บล็อกให้ก่อนชั้นหนึ่งนั่นเอง) ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์นี้ยังไงอ่ะ มันเป็นภาวะที่เรียกว่า รู้อยู่แล้วว่าพูดแบบนี้ออกไปพี่จะโดนด่านะคะ แต่พี่ก็ยังพูดมันออกมา แล้วล่ามก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องแปล แล้วก็จะมีเสียงเหมือนคนตะโกนดังขึ้นมาใน 3..2..1 นั่นไงล่ะ เป็นไปตามที่คิดไว้ทั้งหมดเลย

เราเห็นการก่อเป็นรูปร่างของสถานการณ์แบบนี้เป็นภาพสโลว์โมชั่นด้วยซ้ำ เท่ป่ะล่ะ 5555 ไม่ต้องใช้พลังจิตหรือญาณทิพย์หรือพลังคอสโมใดๆ แค่เจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆให้บ่อยพอก็อ่านออกแล้ว

VP ถ้าเป็นเรื่องงาน เราว่าเค้าเลือดเย็น โหดเหี้ยม ค่อยๆเชือดอ่ะ แบบเวลาเจอคนแถ เค้าจะนิ่ง ฟังอย่างสงบ เก็บข้อมูล ถามคำถาม ที่ถ้าคนโกหก มันจะโกหกวนไปวนมาจนมัดคอตัวเอง เราว่า VP เป็นมาสเตอร์ด้านนี้ เครื่องจับเท็จเดินได้ชัดๆ แล้วตรวจละเอียดยิบระดับตัวอักษร ราวกับว่าไม่มีอะไรจะหลุดรอดสายตาเขาไปได้ (เราอวยเว่อร์ไปมั้ย เบียวไปมั้ย ขอโทษนะที่ bias เราชอบพี่เท็ดดี้น่ะ)

ซึ่งถ้าปล่อยให้คนแถไปเรื่อยๆ เราก็จะต้องแปลเยอะมาก ใช้เวลานานมาก บางทีมันก็เหนื่อย

บางทีมันก็เลยออกมาแบบนี้

ซึ่งบอกตรงๆเลย เราไม่ได้ประชด เราแค่อยากประหยัดเวลา ไม่อยากเล่นเกมแมวจับหนู ไม่ได้ทำมา ไม่ได้เตรียมมาก็สารภาพมาซะดีๆ จะได้ไม่ต้องทรมานกันนาน เราไม่ได้ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนด้วย แค่บางทีฟังแล้วมันจับไต๋ได้จริงๆ พี่เค้าเลิ่กลั่กจริง

ไปยืนแปลในไลน์มาสองชั่วโมงครึ่ง แล้วลมแรงมากกกก บาซูก้าเป่าลมเย็นๆลงหัว เข้าตาพอดี นั่นแหละ ยืนไป สองชั่วโมงครึ่ง จะเป็นลมมมมม

พยายามจะแปลอย่างใจดี ซอฟให้ รักทุกคน แต่บางสถานการณ์ก็เขาด่าอ่ะ ให้หลบยังไงเนี่ยยย

แล้วไอ้ลูกแถปากเปล่า พูดไปเรื่อยๆเนี่ย ถ้าสมาธิเรายังเต็มๆอยู่ก็แปลได้ไง แต่คิดถึงคนที่พูดตลอดสองชั่วโมงครึ่งดู ว่ามันเหนื่อยมากกกก มีลมลงหัว เป่าตาตลอดเวลาด้วย

ช็อตสุดท้ายคือตอนที่ 2 ชั่วโมง 33 นาที เลิกงานพอดี นี่ก็บอกว่า “(ชื่อเรา)ฟังที่พี่พูดไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ” (สมองกุแบลงค์ไปหมดแล้ว พออออ!)

แต่พี่คนไทยก็คงเข้าใจว่าเราด่าว่าเค้าพูดไม่รู้เรื่อง ซึ่งนั่นก็จริง แต่เราเลิกด่าแล้ว ด่าไปก็ไม่ทำให้ใครพูดรู้เรื่องขึ้นมา เราหมายถึงเราแปลต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

ดีหน่อยลุงๆเข้าใจว่ามันเหนื่อยมากกกกก ลุงก็ขำๆ โอะสึคาเระไป จริงๆออแกไนเซอร์จองมา 2 ชั่วโมงชั้นยอมแถมให้อีกครึ่งชั่วโมงเพราะชั้นชอบพี่เท็ดดี้

แต่มัน もう限界だ อีกวินาทีเดียวก็แปลไม่ไหวแล้ว ปล่อยกุออกไปจากตรงนี้สักทีโว้ย หนาวโว้ยยยยย

พี่คนไทยมาบอกว่า “น้อง(ชื่อเรา)เก่งมาก อึดมากเลย”

ใช่ค่าาา อึดถึกทนเป็นควายเลยค่า แผนกพ้มงานนรก งานผี งานโรคจิตสุดๆไปเล้ย และนี่เป็นล่ามที่ใจดีให้สุดๆแล้ว เรียก Pokayoke ว่าน้องด้วย

มีช็อตนึงแปลไปว่า Pokayoke หน้าที่คือ error-proofing นะคะ ตัวกันผิดพลาดน่ะค่ะ (จริงๆในหัวจำคำว่าตัวกันโง่มา) คือคนต้องทำผิดก่อน แล้วจะไปต่อ น้องถึงจะกรีดร้องบอกเราว่า ไม่ได้ๆ แกผิด แกไปไม่ได้
แต่สถานการณ์ตอนนั้นคือ set up เปลี่ยนรุ่น คนยังไม่ได้ทำอะไรผิด น้องจะกรี๊ดเลยไม่ได้ ตรงนี้ก็แค่ PE ปรับ trigger ของ Pokayoke ให้ร้องตอนปัดสวิทช์จะไปต่อ ไม่ใช่ให้น้องกรี๊ดตอน pallet มาอยู่ตรง station

รู้สึกว่าเรียก Pokayoke ว่าน้องแล้วมันน่ารักดี

มีอีกรอบ จริงๆเรื่องนี้เรื่องเดียวแปลมาหลายแมทช์แล้ว ไม่จบสักที พี่เท็ดดี้บอกว่า “พรุ่งนี้ก็ไม่น่าจบ”

เราหันไปบอกเพื่อน “งั้นเตรียมล่ามมาสักสิบคนนะ”

เห้อออ หัวจะปวด

ดูวิบากกรรมที่ต้องเจอแต่ละอย่าง ไม่ตายก็บุญแล้ว ฮ่วยยยย คาดหวังอะไรจากชั้นนนนน

อย่าล้อเล่นกับระบบ(ทางเดินอาหาร)

พอมาอีกรอบเพื่อนก็คือนัดไว้ 2 ชั่วโมงแต่รู้ว่าลากยาวตลอดบ่ายแน่ๆ เพื่อนก็บอกเราว่า 2 ชั่วโมงแล้วจะให้เราเบรครอบนึง ซึ่งเพื่อนก็ทำตามที่พูด

แต่ว่า….

นี่ก็รีบเข้าห้องน้ำ จิบน้ำแล้วมาประจำที่ มาเร็วด้วย ก็อธิบาย VP ไปว่าอาทิตย์ที่แล้วก็แบบนี้ คือเราต้องพูดไม่หยุดเลย มันเหนื่อยมาก เค้าก็เข้าใจนะ(เข้าใจแหละ พูดขนาดนี้ก็ต้องเข้าใจสิ)

มาไวเลยได้มีจังหวะคุยกับน้อง operator ในไลน์

น้องในไลน์มาบอกว่า “พี่ล่ามแปลช่วยเยอะมาก หัวหน้าหนูตอบอะไรก็ไม่รู้แต่พี่ก็ช่วยแปลอธิบายให้ดีมากๆเลย”

เห้ออออ ดีจายยยย มีคนเข้าใจบ้างก็ดีแล้ว แค่ยิ้มรับคำชมเฉยๆ แต่ใจคือดีใจจนแทบร้องไห้ ขอโทษที่ต้องเก๊กหน้า เพราะยังต้องแปลต่อ มันเป็นงานที่เหนื่อยมากกกกกกก
กดดันมากด้วย บางคนเค้าก็ไม่เข้าใจ คิดว่าเราไปว่าเขา ทั้งๆที่เราพยายามจะช่วย (ช่วยตัวเองนี่แหละ ตอบไม่รู้เรื่องก็ยิ่งต้องแปลนาน เหนื่อย)

พรีเซนเตอร์น่าจะเครื่องรวนไปแล้ว พี่เขาไม่สามารถตอบคำถามได้แล้วอ่ะ อธิบายได้แค่บทพูดที่ตัวเองท่องมาซ้ำไปซ้ำมา สงสารนะ นี่ปรับคำแปลให้ซอฟท์แบบเปิดโหมดซอฟท์เบอร์แรงสุด มากกว่านี้ต้องนั่งพับเพียบแปลแล้ว ถนอมความรู้สึกคนฟังตามที่ได้รับ feedback มาสุดๆ

แต่ไม่ได้คือไม่ได้ไง พี่เท็ดดี้วีนไปหลายรอบมาก “เมื่อวานผมก็บอกไปแล้วนะ ทำไมไม่ทำ” ไม่ได้เป็นปัญหาที่แปลซอฟท์ไปหรอก เนื้อหาน่ะเก็บครบ เน้นให้ด้วย แต่เขาทำไม่ทัน หรือไม่ก็ครับไปงั้นๆ หรือไม่ก็คิดว่าพี่เท็ดดี้จะจำไม่ได้ แต่บอกเลย พี่เท็ดดี้ไม่เคยลืม

จริงๆเราเคยได้รับคอมเม้นจากพี่คนไทยประมาณว่ามาตรฐานในการทำงานสูงเกินไปด้วยแหละ 😀
เราปรับคำแปลให้ซอฟท์ลงได้ถ้าตอนนั้นเราไม่เหนื่อยเกินไป แต่มาตรฐานในการทำงาน เราว่าพี่เท็ดดี้ไม่น่ายอมลดให้ใครนะ ลดไม่ได้จริงๆ เราเองก็พยายามแทบเป็นแทบตายที่จะแปลตามให้ทันความคิดเขาเหมือนกัน

ขนาดวันสุดท้ายของการทำงานของปีนี้ก็ไม่ได้สบายเลยนะ ไปยืนเฝ้าไลน์มาหลายวันแล้ว พี่เท็ดดี้ก็ลงไปนอนมุดๆ ล้วงมือไปใต้เครื่องจักรหางานหล่น (พวกชิ้นส่วนเล็กๆ) กฎการทำงานคือ อะไรหล่นต้องหาให้เจอ ไม่งั้นห้ามผลิตต่อ พอก้มลงไปก็คือเจอชิ้นส่วน ที่น่าจะตกมานานแล้วเยอะอยู่ พี่เท็ดดี้สั่งหยุด ให้เคลียร์พาร์ทหล่นให้หมด แกไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นมาหลายวันจนสนิทกับ operator ที่ยืนประกอบงานแล้ว ปกติถ้าเป็นคนประกอบงานในไลน์ บางคนก็ตะกลัวคนญี่ปุ่น กลัวโดนดุ ดังนั้นเวลาเราลงไปแปลในไลน์ ถ้าคนฟังคือแผนก production เราจะแปลซอฟท์มาก แต่ก็เข้าใจว่าสำหรับพนักวาน มันก็กดดันอยู่ดี ยิ่งที่คนมายืนพูดหลายๆคนข้างหลังยิ่งโคตรกดดัน เคยเห็นพนักงานมือสั่นตอนเราไปแปลออดิทไลน์ก็บ่อย นี่เลยพยายามทำเสียงให้มันน่าฟังและฟังง่ายแหละ (อยากได้เสียงผู้ประกาศข่าวสาวท่านหนึ่ง) แต่พอน้อง operator เริ่มชิน ทีนี้ชิลล์แล้ว คุยกับ VP สบายๆเลย ยังมีมาแซวเราด้วยว่า “หนูเห็นเวลาพี่ล่ามฟังหัวหน้าหนูพูดแล้วพี่ขมวดคิ้วแบบนี้เลยอ่ะ หนูสงสารพี่มากเลย” นี่ก็ถามน้อง “แล้วเราฟังหัวหน้าเราเข้าใจมั้ยคะ” น้องส่ายหน้าอ่ะ 55555

โหมดยากก็จะประมาณนี้แหละ ต้องแปลได้ไม่พอ ต้องตามความคิด จินตนาการของ TOP ให้ทัน ต้องเรียบเรียงอะไรที่มันฟังไม่รู้เรื่องให้ออกมาพอเข้าใจ ต้องระวังคำพูดที่เลือกใช้สุดๆทั้งๆที่มีเวลาคิดแค่ไม่กี่วินาที บางคนเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ก็อาจจะมองว่าล่ามก็แค่แปลๆไปสิ ฮ่ะๆๆๆ ถ้าฟังเข้าใจก็แปลไปแล้ว อยากแปลจะตายไป

ทั้งหมดก็เป็นเรื่องการดีลกับคนนั่นแหละ มันไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์หรอก เราปรับแต่งนิสัย(เวลาทำงาน) ขัดเกลาความสามารถ ปรับสีหน้าให้ดูเป็นมิตร ก็คือทำทุกอย่างที่ทำได้ ทำซ้ำๆทุกวัน

ปีนี้เป็นปีที่พยายามใจดีกับคนอื่นอย่างสุดความสามารถเลย ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องดีใช่มั้ย แต่มีคนเดียวที่ต้องลำบากที่สุดกับการที่เราเลือกทำแบบนี้ ก็คือตัวเราเอง

ยิ่งเราใจดีกับคนอื่นมากเท่าไหร่ คนคนเดียวที่เราใจร้ายกับเค้าที่สุดคือตัวเราเอง

เราทำให้ตัวเองต้องทำงานหนัก แทบไม่ได้หยุดพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ได้ดื่มน้ำให้มากพอ ไม่ค่อยมีเวลาเข้าห้องน้ำ ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น เมินเฉยกับความรู้สึกของตัวเอง มันอาจจะดูดีนะตามมาตรฐานของสังคมน่ะ ใครๆก็มักจะบอกเราเวลาอยากให้เราปรับปรุงตัวอะไรสักอย่างอยู่บ่อยๆ ว่าทำแบบนั้นสิทำแบบนี้สิ มันจะน่ารัก จะได้เป็นที่รักของคนอื่น สังคมตั้งค่า default ให้มนุษย์ทุกคนควรจะทำตัวดีๆ ทำตัวให้เป็นที่รัก

ต่อให้เราจะไม่ได้อยากถูกรักหรือได้รับความเอ็นดูอะไรขนาดนั้น สังคมก็อยากให้ค่า default นั้นกับเรา แล้วเราก็ดันทำตามนั้นแค่เพราะขี้เกียจจะอธิบายว่าทำไมไม่ทำ ก็เลยกลายเป็น 営業スマイル และอื่นๆที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อหาระดับที่เหมาะสมที่สุดมาหลายปี เราไม่ต่อต้านเลย เราทำตามหมดเลย

ตอนนี้ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยเป็นมนุษย์ ไม่ค่อยมีความรู้สึก เหลือแค่ความรู้สึกเหนื่อย กับความรู้สึกเศร้าแหละ อาจจะมีโมเม้นท์ดีใจเล็กๆบ้าง ซึ่งถึงแม้มันจะเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีค่ามากเลยนะ สำหรับเราที่เป็นก้อนอะไรสักอย่างที่อัดแน่นด้วยความเหนื่อยและความเศร้า แค่เรื่องที่ทำให้ยิ้มได้เล็กๆ ก็ดีมากพอแล้วล่ะ

เราไม่ค่อยเขียนความรู้สึกบางอย่างเพราะคิดว่ามันเบียวอ่ะ แต่ต่อจากนี้คิดว่าคงแสดงด้านนี้ออกมามากขึ้นมั้ง เห็นมีคนมาคอมเม้นว่าอ่านบล็อกเราแล้วรู้สึกเหมือนมีเพื่อนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกัน หรือว่า 共感 ถ้าเราเอาแต่ปกปิดหรือหลบซ่อน ก็ไม่ค่อยดีกับคนที่ตามอ่านเท่าไหร่ จริงมั้ย ? ไม่ดีกับตัวเราเองด้วย สู้ยอมรับไปตรงๆเลยดีกว่า ใช่ เราโคตรเบียวเลย 555

มีคนบอกเราว่า “เรารู้สึกเหมือนคุณเป็นประเภทถ้ามีใครมาทำให้เจ็บ คุณจะทุบแก้วแตกแล้วกำเศษแก้วนั่นจนเลือดไหลเต็มมือแต่จะทำหน้าไม่เจ็บปวดทั้งที่ตัวเองเจ็บจะแย่”

อ่า…น่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ

แล้วเค้ายังบอกเราอีกว่า “ทำในสิ่งที่อยาก ทำไปเลย ทำเยอะๆ ให้ตัวตนของคุณมันแผดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพราะถ้าในชีวิตจริงไร้หนทางแสดงออก ก็แสดงมันผ่านผลงานทั้งหมดของคุณเลย”

เรารู้สึกว่าเค้ารับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีกว่าเราอ่ะ เราเลือกที่จะซ่อนมันให้มิดที่สุด แล้วก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่คนคนนี้เลือกที่จะซ่อน เก็บ สะสมไว้จำนวนหนึ่ง แล้วแสดงออกมาแบบระเบิดมันผ่านผลงานอ่ะ ผลงานเขาดูเป็นดอกไม้ไฟแห่งความเศร้าที่ตระการตาสำหรับเรานะ

ช่วงนี้เราชอบฟังเพลงของ Ado มาก คือก่อนหน้านี้ฟังแต่ HoneyWorks น่ารักนุบนิบ แกล้งทำเป็นสดใสกลบเกลื่อน พอมาฟัง Ado ว้าวววว เหมาะกับช่วงเวลาแบบนี้มาก ให้เพลงมันกรีดร้องแทนเรา

ตอนนี้แปลมังงะเล่มหนึ่งอยู่ เนื้อหาก็เกี่ยวกับคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตนี่แหละ นี่แปลไปก็จะมีช่วงแบบสะอึกแล้วหันมามองตัวเองนิดนึง ลำบาก(ด้านจิตใจ)อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยิ่งอยากทำให้ดี

วันสุดท้ายของการทำงานในปี 2023

ไม่ต้องดีใจไป ยังมีมังงะที่ต้องแปลตลอดวันหยุดยาว

ปีนี้เป็นปีแห่งการทำงานทั้งปี ทำงานเหมือนคนที่แทบไม่เคยมีวันหยุด เราได้วันพักร้อนแบบ fix 6 วันต่อปี ใช้ไม่หมดอีกต่างหาก แล้ววันที่ใช้ก็คือไม่ได้หยุดนะ ใช้ไปทำอารุไบ้โตะ (หัวหน้ารับรู้นะ เลือกแบบหลบประชุมแล้ว)

สำหรับเรา ปี 2022 เป็นปีที่น่าเบื่อ ส่วนปี 2023 เป็นปีที่เหนื่อย

จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า recap 2022 เขียนว่าอะไร น่าเบื่อจนไม่มีอยู่ในความทรงจำขนาดนั้นเลย

ย้อนกลับไปอ่านโพสแรกของปี 2023 ก็มีพูดถึงเรื่องเรียน data science ของ มสธ. สรุปว่า 1 ปี เราเก็บไป 8 วิชาจากทั้งหลักสูตรที่ต้องเรียน 15 วิชา ถือว่าเร็วมากๆ แต่ตอนนี้เราต้องพักเรื่องเรียนไว้ก่อน หรืออาจจะต้องเลิกเรียนไปเลย เพราะทำงานเยอะมากๆ ไม่เป็นไร เรียนมันเสียตังค์ แถมไม่ค่อยได้เอามาใช้ตรงๆขนาดนั้น เราเรียนแก้ว่าง คนที่จะเรียน ป.ตรี 3 ใบต้องเป็นคนที่ว่างมากๆ ซึ่งตอนนี้เราไม่ได้ว่างขนาดนั้น

เรื่องการลงทุนนี่ก็ไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จเรื่องกาเรป็นนักลงทุนหรือวางแผนเกษียณเลย (ติดดอย) แต่ก็แบบ อื้ม ถ้าเราไม่ลงเงินตัวเองลงไป ก็ไม่เริ่มศึกษาสักที ก็ถือว่าที่ติดดอยนี่ค่าลงทะเบียนเรียนแล้วกัน (แพงอยู่นะ) ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้เวลากับการศึกษาเรื่องการลงทุนมากเท่าที่ควร ก็เป็นเรื่องที่ควรทำ อยากทำ แต่โดนจัด priority ไว้ลำดับท้ายๆทุกที (ไม่ดีเลยเนอะ)

สุขภาพ – ปั่นจักรยานระยะทางรวม 175.16 km น่าจะเป็นแค่ตอนต้นปีกับช่วงปลายปี ถ้าร้อนหรือฝนตกก็ไม่ปั่น เหนื่อยก็ไม่ปั่น อยากได้ 200 km ก่อนสิ้นปี จริงๆถ้าไปปั่นก็วันละ 10 km ชิวๆ ทำได้อยู่แล้ว อยู่ที่จะทำรึเปล่า

ปีหน้าตั้งไว้ที่ 500 km แล้วกัน ลอง challenge ตัวเองดู สุขภาพนี่ควรจะเป็นลำดับความสำคัญที่มาก่อน รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันดี เห้ออออ

เนี่ย เขียนๆไปก็รู้สึกนะว่าตัวเองโคตรรรรรรรรรรรรรรน่าเบื่อออออออเลยยยยยยยยยยยยยยยย

เป็นคนที่วันหยุดก็ไม่ชอบออกจากบ้าน ชอบนอน ถ้ามีเวลาก็คือนอนค่ะ ไม่งั้นก็อ่านหนังสือที่ดองไว้ กลัวตายก่อนทลายกองดองตัวเองสำเร็จ แต่ขอโทษ… มีที่ยังไม่ได้อ่านตั้งสองร้อยกว่าเล่ม ซื้อมาถมที่เหรอ ไอ้บ้าาาาาา

จริงๆปีนี้เราอ่านหนังสือเยอะนะ แต่กองดองเราแทบไม่ลดเลย

ที่อ่านเล่มๆที่ซื้อมาน่าจะอ่านไป 2 เล่ม

ที่อ่านใน TK Read น่าจะประมาณ 26 เล่ม (ส่วนใหญ่จะเป็นนิยาย)

นิยายน่ะไม่มีปัญหา ขอแค่มีเวลา ไม่นานก็อ่านจบ แต่พวกหนังสือแนวพัฒนาตัวเองกับการลงทุนที่ขยันซื้อมาแต่ไม่ยอมอ่านนี่คือท้อใจกับตัวเองมาก

เรื่องงาน – ยังไม่ได้เซ็นสัญญา แต่เห็นใบประเมินแล้ว พอดีกำหนดหมดสัญญาก็คือต้นปีแหละ แต่ก็คิดว่าคงอยู่ที่นี่ต่อ

จริงๆงานมันยุ่งมากกกกกก เลยเวลาพักเที่ยงบ่อยๆ ไม่มีเวลากินน้ำ ประชุมติดๆกันบ่อยๆ ไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ หรือไม่ก็ประชุมยาวๆ เนื้อหาเครียดด้วย ต้องแปลเนื้อหาที่แบบจริงจังโคตรๆ แถมต้องประมวลผลในระดับยาก ต้องคอยระมัดระวังคำแปลไม่ให้มันสะเทือนใจคนฟัง (คือปรับซอฟท์ให้สุดๆ) อันนี้ก็แล้วแต่โอกาส เวลา สถานการณ์นะ ถ้าเราไม่เหนื่อยเราจะปรับซอฟท์ให้ได้ แต่ถ้าเหนื่อยมากๆ บางทีมันก็สุดฝีมือแล้วจริงๆ

ถ้าใครมีคำสุภาพที่สุดของคำว่า “พูดไม่รู้เรื่อง” แบบสั้นๆก็ช่วยชี้แนะเราหน่อยนะ สถานการณ์คือถ้าจะบอกว่าให้พูดอีกทีแต่พูดเหมือนเดิมก็แปลไม่ได้อยู่ดี มันจับใจความไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจว่าต้องการบอกอะไร หาประเด็นไม่ไ่ด้เลยน่ะ—ยาก ติด ? เอาไว้ก่อน ใครรู้ก็บอกบุญที จะเป็นพระคุณอย่างสูง

แต่สิ่งที่อยากเขียนถึงเป็นพิเศษก็คือปีนี้เราทำงานพิเศษเยอะมากกกกกกก ไม่เคยได้เงินจากการทำฟรีแลนซ์มากเท่านี้มาก่อนเลย (ไม่ได้แปลว่าค่าตัวแพงขึ้น แปลว่าทำงานเยอะขึ้นต่างหากล่ะ 5555)

แต่ไม่มีงานแปลล่ามโรงงานที่เป็นงานฟรีแลนซ์เลย ปีนี้มีโอกาสได้ทำไปทำงานในวงการที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ขอบคุณน้อง บ. รุ่นน้องสมัยมหาลัยที่ชวนพี่ไปทำนะคะ แถมมันยังเป็นโอกาสให้เราได้เจอรุ่นพี่สมัยที่ทำงานบริษัทเก่า ที่ไม่ได้เจอพี่เขานานหลายปีมากๆ ขอเรียกว่า “พี่ล่ามไอดอล” จะบอกว่าเป็นโมเม้นท์ที่ดีที่สุดของปีก็กลัวคนจะหาว่าเว่อร์เกินไป แต่สำหรับเรา เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ได้เจออีกหลายครั้งเพราะได้ทำงานด้วยกัน ถึงงานจะยุ่งมากๆแบบแทบไม่ได้คุยด้วยเลยก็ไม่เป็นไร (เพราะจริงๆแล้วเป็นคนไม่มีอะไรจะคุยอยู่แล้ว) ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนอยู่หลายคนก็จะค่อนข้างเงียบ เป็นปกติของเราแหละ

แค่อยากจะบอกว่า…

หวังว่าปีหน้าออแกไนเซอร์ก็จะยังจ้างเราอยู่นะคะ เพราะเราอยากไปเจอพี่ล่ามไอดอลอีก 5555

มีอีกงานก็คืองานแปลเอกสาร อันนี้รุ่นน้องมหาลัยก็แนะนำให้เหมือนกัน ชื่อน้องบ. เหมือนกัน (คนละ บ. ด้วย) ตอนช่วงแรกๆที่ผู้ดูแลคือคุณพ.นี่คือรู้สึกชีวิตดี๊ดีมาก แต่พอเปลี่ยนผู้ดูแลแล้วก็มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกลำบากใจอยู่บ้างแต่หลังๆก็ดีขึ้นแล้วนะ

พยายามใจเย็นๆและสุภาพใจดีกับทุกคนอย่างถึงที่สุด บางทีก็ตกใจในความใจเย็นของตัวเองเหมือนกัน (เพราะตอนเราเด็กๆเราไม่เย็นเลย 555)

ปีนี้ก็มีงานแปลมังงะอยู่เล่มนึง แปลข้ามปีไปเลย ปกติจะต้องอ่านหนังสือสอบข้ามปี ปีนี้เป็นทำงานข้ามปีแทน

ปีนี้เหนื่อยแล้ว ปีหน้าดูเหมือนจะเหนื่อยกว่า สู้ๆนะค่ะ

แต่เอาจริงๆ เราชอบทำงาน บ้างานเข้าขั้นโรคจิต มีงานอีเว้นต์ที่ไปทำ ปกติแล้วเราจะยุ่ง แต่มีงานหนึ่งเราไม่ค่อยยุ่ง ก็ว้าวุ่นเลยสิทีนี้

เมื่อก่อนจะอดทนอยู่เฉยๆไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมานิดนึงแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่ไว้ใจจ้างเรา และขอบคุณรุ่นน้องที่ช่วยแนะนำให้ ทั้งงานที่บริษัทและงานนอกอื่นๆ สัญญาว่าจะทำให้เต็มที่ทุกงานงับ เพราะมันเอาไว้แก้อาการประสาทแดร๊กของของเราเอง 55555

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงค่ะ

ส่วนใครที่ยังต้องทำงานอยู่ ถึงแม้ว่าอาจจะเลยคริสตมาสไปแล้ว แต่ก็มีรูปที่เราทำเอาไว้ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงเช่นกันนะคะ🤣😂

จากโพสของ Jeducation

ถ้าให้เลือกคันจิมา 1 ตัว สรุปชีวิตปี 2023 ของตัวเอง
จะเป็นคำว่า…

เราเลือก 「働」

บันทึกวันอันแสนสุข(?)ก่อนหมดปี

ตะกี้ไปยืนแปลในไลน์มาสองชั่วโมงครึ่ง แล้วลมแรงมากกกก บาซูก้าเป่าลมเย็นๆลงหัว เข้าตาพอดี นั่นแหละ ยืนไป สองชั่วโมงครึ่ง จะเป็นลมมมมม

พยายามจะแปลอย่างใจดี ซอฟให้ รักทุกคน แต่บางสถานการณ์ก็เขาด่าอ่ะ ให้หลบยังไงเนี่ยยย

แล้วไอ้ลูกแถปากเปล่า พูดไปเรื่อยๆเนี่ย ถ้าสมาธิเรายังเต็มๆอยู่ก็แปลได้ไง แต่คิดถึงคนที่พูดตลอดสองชั่วโมงครึ่งดู ว่ามันเหนื่อยมากกกก มีลมลงหัว เป่าตาตลอดเวลาด้วย

ช็อตสุดท้ายคือตอนที่ 2 ชั่วโมง 33 นาที เลิกงานพอดี นี่ก็บอกว่า “(ชื่อเรา)ฟังที่พี่พูดไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ” (สมองกุแบลงค์ไปหมดแล้ว พออออ!)

แต่พี่คนไทยก็คงเข้าใจว่าเราด่าว่าเค้าพูดไม่รู้เรื่อง ซึ่งนั่นก็จริง แต่เราเลิกด่าแล้ว ด่าไปก็ไม่ทำให้ใครพูดรู้เรื่องขึ้นมา เราหมายถึงเราแปลต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

ดีหน่อยลุงๆเข้าใจว่ามันเหนื่อยมากกกกก ลุงก็ขำๆ โอะสึคาเระไป จริงๆออแกไนเซอร์จองมา 2 ชั่วโมงชั้นยอมแถมให้อีกครึ่งชั่วโมงเพราะชั้นชอบพี่เท็ดดี้ (คนญี่ปุ่นที่ทำงานอ่ะ เก่งดี ชอบ)

แต่มัน もう限界だ อีกวินาทีเดียวก็แปลไม่ไหวแล้ว ปล่อยกุออกไปจากตรงนี้สักทีโว้ย หนาวโว้ยยยยย

พี่คนไทยมาบอกว่า “น้อง(ชื่อเรา)เก่งมาก อึดมากเลย”

ใช่ค่าาา อึดถึกทนเป็นควายเลยค่า แผนกเรางานนรก งานผี งานโรคจิตสุดๆไปเล้ย และนี่เป็นล่ามที่ใจดีให้สุดๆแล้ว เรียก Pokayoke ว่าน้องด้วย

มีช็อตนึงแปลไปว่า Pokayoke หน้าที่คือ error-proofing นะคะ ตัวกันผิดพลาดน่ะค่ะ (จริงๆในหัวจำคำว่าตัวกันโง่มา) คือคนต้องทำผิดก่อน แล้วจะไปต่อ น้องถึงจะกรีดร้องบอกเราว่า ไม่ได้ๆ แกผิด แกไปไม่ได้
แต่สถานการณ์ตอนนั้นคือ set up เปลี่ยนรุ่น คนยังไม่ได้ทำอะไรผิด น้องจะกรี๊ดเลยไม่ได้ ตรงนี้ก็แค่ PE ปรับ trigger ของ Pokayoke ให้ร้องตอนปัดสวิทช์จะไปต่อ ไม่ใช่ให้น้องกรี๊ดตอน pallet มาอยู่ตรง station

รู้สึกว่าเรียก Pokayoke ว่าน้องแล้วมันน่ารักดี

พรุ่งนี้มีอีกรอบ จริงๆเรื่องนี้เรื่องเดียวแปลมาหลายแมทช์แล้ว ไม่จบสักที พี่เท็ดดี้บอกว่า “พรุ่งนี้ก็ไม่น่าจบ”

ฉัน “งั้นเตรียมล่ามมาสักสิบคนนะ”

เห้อออ หัวจะปวด

พี่เท็ดดี้ตรรกะแน่นมาก เจอคนแถแกจะถามไปเรื่อยๆ จับโกหกเก่งมาก แบบปล่อยให้พูดไปเรื่อย เก็บรายละเอียด แล้วค่อยฟาดทีเดียว มันกร้าวใจมาก แล้วแบบแม่นทุกจุด นี่เลยชอบเขา ชอบคนทำงานเนี้ยบ เพียงแต่ว่ามันยากตรงเวลาแปลล่ามให้ต้องสมาธิดีๆ

เราเคยโดนคนไทยคอมเม้นว่ามาตรฐานในการทำงานสูงไปด้วยแหละ

แต่ก็ต้องขอตอบตรงๆว่าลดให้ไม่ได้จริงๆค่ะ ก็ดูพี่เท็ดดี้สิ
ส่วนลุงแอดไวเซอร์แผนกเราเอง ก็ชอบไปตีกับชาวบ้าน วันนี้ก็มาอย่างตึงเลย

ดูวิบากกรรมที่ต้องเจอแต่ละอย่าง ไม่ตายก็บุญแล้ว ฮ่วยยยย คาดหวังอะไรจากชั้นนนนน!?

บอกลุงว่า “วันนี้ต้องเบียร์แล้ว”

เมื่อวานจับของขวัญในแผนก ได้รางวัลพิเศษของลุงแอดไวเซอร์มา แล้วลุงแอดไวเซอร์คือทรงแดดดี้สายเปย์มาก ใส่เงินมาเยอะอยู่นะ แล้วก็มีของเล็กๆน้อยๆน่ารักเป็นกิมมิกด้วย ทรงเค้าคือผู้ชายพูดน้อย หน้าตาดี แต่งตัวเนี้ยบอ่ะ ตอนหนุ่มๆน่าจะเป็นอิเคเมนเลยแหละ วันนี้มีคนจะไปทำบุญเลี้ยงอาหารเด็กบนดอย ไปขอ donation ลุงก็ใส่ให้เยอะ ถามว่าจะเอาเท่าไหร่ เท่านี้พอมั้ย คนไปขอก็เกรงใจที่เขาให้เยอะ ลุงบอกว่า “เอาไปเถอะ ผมได้เงินมาก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว” ใจลุงอย่างได้อ่ะ 5555555

จริงๆเขาดูจุกจิกนิดหน่อย แบบชอบถามจี้ทำไมๆ คนไทยไม่ชอบ และไม่ตอบด้วย แต่นี่ก็สัมผัสได้ว่าจริงๆแล้วลุงน่ะใจดีมาก เวลาคนในแผนกไปขออะไรที่มัน 無理 ลุงก็ช่วยคุยให้ เป็นผู้ชายเงียบๆ ใจดี แต่คนไม่ค่อยรู้

ปีนี้เป็นปีที่งานเครียดมาก เนื้อหาที่แปลก็ค่อนจ้างยาก ชั่วโมงการทำงานยาวนาน บางวันแทบไม่มีเวลากินน้ำ ไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ (นั่นไม่เฮลตี้เอาซะเลย) เลทเวลาพักเที่ยงบ่อยๆด้วย

ถึงงานจะหนัก แต่ก็พยายามใจดีกับคนอื่นอยู่นะ ใครเตือนอะไรมา ขออะไร ถ้าทำให้ได้ก็จะทำให้ตลอด

บางทีก็คิดว่าเราน่ะปฏิบัติต่อคนอื่นแบบที่อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเราแบบนั้นเหมือนกัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นระบบสุ่มกาชา เราคาดหวังกับคนอื่นไม่ได้หรอก ทำได้แค่พยายามใจดีกับทุกคนให้มากที่สุด แต่ปีนี้สิ่งที่เราพลาดไปคือเราใจดีกับคนอื่นเกินไป เลยใจร้ายกับตัวเองล่ะ ก็รู้สึกผิดตรงนี้อยู่เหมือนกัน แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อดทนแล้วปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

เมื่อคืนนั่งดูพวกคลิปวิดีโอของ Yu Yu Hakusho ได้ยินยูสุเกะตะโกนว่า เรกันนนนนนน! ก็เลยสงสัยว่ามันคันจิตัวไหนนะ อ๋อ 霊丸 นี่เอง

แต่ที่เราเจอมาเมื่อวานนี้ กับต้องเจออีกหลายชั่วโมงในวันนี้คือ 冷ガン (ปืนบาซูก้าที่พ่นลมเย็นๆใส่หน้าเราในไลน์ มันไม่ได้ใช้คำนี้หรอก เราตั้งเอง) กับ 冷寒 มันทำให้ไปเจอคำที่น่าสนใจหลายคำ

冷寒症 คือโรคกามตายด้าน
冷汗 เหงื่อที่ไหลซึมออกมาเพราะความหนาว หรือกลัว
霊感 การสัมผัสวิญญาณ
老眼 สายตายาว
正露丸 เซโรกัน แบรนด์ยาแก้ไอ(?) คำว่าเซโรงังน่าจะมาจากอันนี้
ロンガン ลำไยยยยยย!

อากาศที่ว่าหนาว ยังไม่เท่ามุกเราที่ 寒い กว่า

เสียวตูด

เมื่อเช้าพี่ในแผนกมีปัญหากันนิดหน่อย พี่ A เป็นผู้ชายที่พูดเสียงแข็งๆ ดูโวยวายๆหน่อย ก็ปกติของเค้าแหละนะ เค้าบอกพี่ผู้จัดการ(สมมุติว่าชื่อพี่ B)ว่า “ยังไม่ได้แชร์หน้าจอ ให้ดูอะไร” ก็มีความแซวเล่นแหละนะ แต่พี่ผู้จัดการเขาไม่เล่นด้วยอ่ะ เขาก็ตอบว่า “พูดดีๆก็ได้”

นี่ก็รู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าอะไรบางอย่าง เปรี๊ยะๆ นิดหน่อย

พี่ผญที่นั่งข้างพี่ A ก็คงพยายามเตือนแล้วแหละ ว่าน้ำเสียงที่ใช้มันไม่ค่อยดี (บางทีพี่เค้าก็เคยด่าซัพ แบบมันก็ไม่ค่อยดีจริงนะ)

เราเดินไปตอนเขาคุยกันพอดี
นี่ก็เลยบอกพี่ A ว่า “พรุ่งนี้พี่ลองใหม่ดิ แบบทำเหมือนพี่คุยกับน้องๆ สาวๆน่ารักๆในไลน์อ่ะ พี่ B ค้าบบบบ พี่ B ยังไม่ได้แชร์หน้าจอค้าบบบบ ช่วยแชร์หน้าจอหน่อยค้าบบบ แบบนี้อ่ะ”

ก็อธิบายให้เขาฟังไปว่าช่วงนี้เราก็เปิดโหมดซอฟท์หวานเหมือนกัน ไม่ด่าเลย บางทีลุงๆออกอาการขึ้นเสียงแล้วนะ แต่เราแปลให้ production คือเบาให้มากๆ “พี่คะ เค้าบอกว่าไม่ให้ทำแบบนี้คะ อย่าทำนะคะ”

ก็แซวๆพี่ A แบบย้ำๆให้เรียก “พี่ B ค้าบบบ” พี่ A ก็บอก แค่คิดก็ขนลุกแล้ว (เขาอายุพอๆกันอ่ะ)

คือจริงๆ พี่ A แอบเคืองพี่ B แหละ แต่พอฟังเราอธิบายว่าการพูดดีๆ มันก็ดีกับตัวเราเองด้วย ดีกับคนอื่นด้วย(เราเองก็ไม่ได้ทำได้ 100% หรอก แต่ก็พยายามอยู่) เค้าก็เข้าใจนะ นี่ก็แบบ ถ้าโกรธก็ลองเอาคืนแบบนี้ดูสิ เรียกแบบเสียงนุ่มๆ พี่ B น่าจะมีเสียวตูดบ้างแหละ 55555

พอพูดแบบนี้พี่ A ก็หัวเราะออกมาเลย

จริงๆไม่ค่อยชอบมุกเสียวตูดเท่าไหร่ แต่ก็เวิร์คอยู่นะ 555555